Powered by Spearhead Software Labs Joomla Facebook Like Button

newscms thaihealth c dghmptyz5789

อย.เผยชื่อพยาธิ 5 ชนิด ปนเปื้อนอาหารเข้าสู่ร่างกาย สังเกตรอยบวมแดงเคลื่อนตำแหน่ง คันก้นระวังพยาธิวางไข่ อย่าเชื่อบีบมะนาวฆ่าตัวอ่อนแค่เนื้อเปลี่ยนสี

กรณีกระแสข่าวเรื่องของพยาธิที่ปนเปื้อนในอาหาร แม้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ก็มีหลายคนยังคงมีคำถามสงสัยหลายอย่างเกี่ยวกับพยาธิ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพยาธิมีกี่ชนิด และมักจะพบในอาหารใดบ้าง หรือมีวิธีหลีกเลี่ยงป้องกันอย่างไร รวมถึงจำเป็นหรือไม่ที่ต้องถ่ายพยาธิเป็นประจำทุกปี

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เผยแพร่ผ่านแฟนเพจ "@FDAThai" ให้ข้อมูลไขข้อข้องใจ ว่า พยาธิจะมี 5 ชนิดและมักพบในอาหารแบบดังต่อไปนี้ ได้แก่ "พยาธิใบไม้ตับ" พบในอาหารที่ทำจากปลาน้ำจืดที่ไม่สุก เช่น ปลาร้าดิบ ส้มปลา เป็นต้น "พยาธิตัวตืด" พบในเนื้อหมู วัว ที่ปรุงไม่สุก สามารถมองเห็นตัวอ่อนของพยาธิตัวตืด ซึ่งมีลักษณะเป็นเม็ดสาคู หรือผักสดที่ล้างไม่สะอาดและมีไข่พยาธิปนเปื้อน "พยาธิไส้เดือนและพยาธิแส้ม้า" พบในผักผลไม้ที่ล้างไม่สะอาด อาหารไม่สะอาดปนเปื้อนไข่พยาธิ มีแมลงวันตอม หรือหยิบของที่ตกบนพื้นดินเข้าปาก "พยาธิตัวจี๊ด" พบในเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก เช่น ปลา ไก่ กบ เป็นต้น "พยาธิอะนิซาคิส" พบในอาหารประเภทปลาทะเลที่ไม่สุก ปลาดิบ         

สำหรับวิธีหลีกเลี่ยงพยาธิเหล่านี้ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ควรเลือกซื้ออาหารที่สดใหม่สะอาด หากเป็นเนื้อสัตว์ต้องสังเกตุดูว่า มีตัวอ่อนพยาธิ ซึ่งมีลักษณะเป็นเม็ดสาคูปนเปื้อนหรือไม่ และไม่หยิบของที่ตกบนพื้นแล้วเข้าปาก และควรเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบ หรือสุกด้วยความร้อนไม่เพียงพอ และการบีบมะนาวไม่มีผลในการฆ่าตัวอ่อนพยาธิ เพียงแค่ทำให้เนื้อสัตว์เปลี่ยนสีเท่านั้น ส่วนผักสดหากจะรับประทานดิบๆ ควรจะล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง ที่สำคัญล้างมือให้สะอาดก่อนทำอาหารและรับประทานอาหาร         

อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องใช้ยาถ่ายพยาธิประจำปี หากไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพยาธิ เช่น อยู่ในพื้นที่ชุกของโรคสูง หรือพฤติกรรมเสี่ยงสูงต่อการได้รับพยาธิ เช่น กินเนื้อสัตว์สุกๆ ดิบๆ เป็นประจำ แต่หากมีอาการผิดปกติที่สงสัย เช่น ท้องอืด ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย มีรอยบวมแดงบนผิวหนังที่เคลื่อนตำแหน่งไปเรื่อย ๆ หรืออาการคันก้น เนื่องจากพยาธิบางชนิดจะออกมาวางไข่รอบ ๆ ทวารหนักตอนกลางคืน เป็นต้น ควรไปพบแพทย์ตรวจวินิจฉัย และรักษาด้วยยาถ่ายพยาธิที่เหมาะสมกับชนิดพยาธิที่ได้รับ

27 เมษายน 2561 - ศูนย์การเรียนรู้ สสส.

newscms thaihealth c dgjmnost2378

ประเทศไทย ประกาศจริงจังควบคุมการใช้พลาสติกและยกเลิกใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม (แคปซีล) เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกและลดโลกร้อน ภายในงานวันคุ้มครองโลก 2561 (Earth Day 2018 Thailand)

พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวในงานวันคุ้มครองโลก 2561 (Earth Day 2018 Thailand) “คนรุ่นใหม่ ลดขยะพลาสติก กู้วิกฤติโลกร้อน” ตรงกับวันที่ 22 เมษายนของทุกปี ว่า รัฐบาลไทย ให้ความสำคัญกับการควบคุมการใช้และกำจัดขยะจากพลาสติกซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก เพราะก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน โดย ประเทศไทย ได้ควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5 กลุ่ม คือ พลังงานและขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคของเสีย ภาคเกษตร และภาคป่าไม้ รวมถึง การยกเลิกใช้ “พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม” หรือ “แคปซีล” อย่างจริงจัง ซึ่งประเทศไทยมีการผลิตขวดพลาสติกเพื่อบรรจุน้ำดื่มประมาณ 4,400 ล้านขวดต่อปี แล้วใช้สูงถึงปีละ 2,600 ล้านขวด ส่งผลให้เกิดขยะพลาสติก 2,600 ล้านชิ้น หรือคิดเป็นน้ำหนัก 520 ตัน ซึ่งแคปซีลผลิตจากพลาสติกพีวีซีมีขนาดชิ้นเล็ก น้ำหนักเบา ง่ายต่อการทิ้งกระจัดกระจายลงในสิ่งแวดล้อม ยากต่อการรวบรวมและจัดเก็บเพื่อนำกลับมารีไซเคิล เพราะไม่คุ้มทุน ทำให้ถูกทิ้งลงสู่สิ่งแวดล้อมทั้งบนบกและทะเล โดยไม่ย่อยสลายหากไม่มีการรวบรวมนำไปกำจัดอย่างถูกต้อง ภาพรวมหลายประเทศเลิกใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่มอย่างเด็ดขาดแล้ว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวย้ำว่า ยังเข้มงวดการรณรงค์ไม่ให้ทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง เพื่อป้องกันขยะขนาดเล็กเล็ดลอดไหลงสู่ทะเลจนเกิดขยะทะเลขึ้น จึงขอความร่วมมือคัดแยกขยะตั้งแต่ครัวเรือนก่อนทิ้งทุกครั้ง

23 เมษายน 2561 - ศูนย์การเรียนรู้ สสส.

newscms thaihealth c emnqrtu23789

สสช.ประเมินว่าปี 64 จะมีผู้สูงวัยเพิ่ม 20% รณรงค์ปั๊มลูกเพิ่ม-ติงวัยทำงานใช้เงินเก่ง 

นายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในปี 2564 นั้น ทาง สสช. ได้วิเคราะห์จากฐานข้อมูลจำนวนประชากรของประเทศไทย ปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ามีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 67.6 ล้านคน เป็นชาย 33 ล้านคน หญิง 34.6 ล้านคน และมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 11.3 ล้านคน หรือ 16.7% ของจำนวนประชากรทั้งหมด วัยทำงานอายุ 15-59 ปี จำนวน 44.60 ล้านคน วัยเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 11.60 ล้านคน โดยวัยผู้สูงอายุยังคงทำงานอยู่ราว 3.9 ล้านคน เพื่อหารายได้เสริมและเลี้ยงครอบครัว เพราะผู้สูงอายุบางคนไม่มีคนดูแล

ทั้งนี้ สสช.ได้ประเมินว่า ในปี 2564 จะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป สัดส่วนสูงถึง 20% และในปี 2574 ประเทศไทยจะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงถึง 28% ทั้งในปัจจุบันสัดส่วนวัยทำงานดังกล่าวยังสามารถดูแลผู้สูงอายุได้ 1 ต่อ 4 คน แต่ในปี 2574 สัดส่วนการดูแลผู้สูงอายุจะเฉลี่ยที่ 1 : 1 เพราะฉะนั้น รัฐก็ต้องวางแผนในการดูแลวัยผู้สูงอายุ และวัยทำงาน รวมถึงวัยเด็ก ที่ปัจจุบันวัยเด็กมีสัดส่วนลดลง เนื่องจากมีการคุมกำเนิด โดยแต่ละครอบครัวเน้นมีลูกคนเดียว ส่วนการออมเงินจะเริ่มมีการออมในช่วงอายุ 50-59 ปี ซึ่งถือว่าผิดหลักการออม ขณะที่อายุระหว่าง 25-40 ปี ที่เป็นวัยที่ต้องออมเงินกลับเป็นวัยที่ใช้เงินจับจ่ายเก่งที่สุด ฉะนั้นต้องเร่งรณรงค์ให้วัยทำงาน มีการออมเงินเพิ่มขึ้น เพื่อเก็บเงินไว้ใช้ในวัยผู้สูงอายุ

“สิ่งที่ภาครัฐจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมสูงอายุอย่างมีความสุข ได้แก่ การรณรงค์ให้มีการออมเพื่อชาติในกลุ่มอายุ 25-40 ปี การสนับสนุนให้มีบุตรเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรวัยเด็ก การดูแลสุขภาพและที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุ เช่น ห้องน้ำ ต้องเป็นแบบชักโครก มีราวเกาะเพื่อมิให้ล้ม เป็นต้น การส่งเสริมกิจกรรมทางสังคม เพื่อให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และการสร้างอาชีพเสริมให้มีรายได้เพิ่ม เพื่อให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สุขภาพแข็งแรง”

11 เมษายน 2561 - ศูนย์การเรียนรู้ สสส.

newscms thaihealth c dflprtwxyz68

กรมส่งเสริมสหกรณ์ร่วมกับกรมการข้าว ส่งเสริมให้สหกรณ์เพิ่มปริมาณการผลิตข้าว กข 43  ตอบโจทย์ผู้บริโภค ลดเบาหวาน-ลดน้ำหนัก

นายพิเชษฐ์  วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลสำเร็จของการจัดทำโครงการส่งเสริมสหกรณ์ขยายพื้นที่ปลูกข้าว กข 43 ว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์ร่วมกับกรมการข้าว ส่งเสริมให้สหกรณ์เพิ่มปริมาณการผลิตข้าว กข 43 โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นหน่วยงานสนับสนุนเรื่องพื้นที่ปลูกข้าวกข 43 คัดเลือกสหกรณ์ที่มีศักยภาพในการผลิตข้าว และสนใจเข้าร่วมโครงการ ทำหน้าที่ดูแลและสนับสนุนเกษตรกรที่เป็นสมาชิกปลูกข้าว กข 43 ตามข้อกำหนด เริ่มตั้งแต่การขึ้นทะเบียนสมาชิกผู้ปลูกข้าวกข 43 การดูแลแปลงปลูกและควบคุมคุณภาพแปลงตามมาตรฐาน GAP จนถึงขั้นตอนรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกร และหากสหกรณ์ใดมีโรงสีข้าวที่ผ่านมาตรฐาน GMP แล้ว ก็สามารถแปรรูปเป็นข้าวสารเพื่อจำหน่ายสู่ตลาดได้ทันที แต่ถ้าสหกรณ์ยังไม่มีโรงสีก็สามารถที่จะรวบรวมข้าวเปลือกจากสมาชิกเพื่อส่งจำหน่ายให้กับโรงสีเอกชน

ขณะเดียวกัน กรมการข้าวจะเข้ามาช่วยดูแลตั้งแต่ขั้นตอนคัดเมล็ดพันธุ์ ดูแลแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์และ แปลงผลิตข้าวของสมาชิกสหกรณ์  การตรวจรับรองระบบมาตรฐาน GAP และรับรอง GMP โรงสีข้าวของสหกรณ์                 

สำหรับการสนับสนุนเรื่องเมล็ดพันธุ์ หากเป็นสหกรณ์ที่เพิ่งเข้าร่วมโครงการ จะได้รับการสนับสนุน 30% จากกรมการข้าว ส่วนที่เหลือเกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ผ่านสหกรณ์ที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวกข 43 และผ่านการตรวจสอบรับรองคุณภาพจากกรมการข้าวแล้ว ในราคากิโลกรัมละ 19 บาท  ซึ่งกรมการข้าวมีเมล็ดพันธุ์เพียงพอที่จะจำหน่ายให้กับสหกรณ์ที่จะนำไปส่งเสริมสมาชิกได้เพาะปลูกในเดือนเมษายนนี้ โดยจะเริ่มที่สหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการในพื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำก่อน          

ส่วนพื้นที่อื่นจะเริ่มปลูกในเดือนพฤษภาคม 2561 ซึ่งคาดว่าการปลูกข้าวกข 43  จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรที่ทำนาปีและนาปรังประมาณ 19,000 บาทต่อฤดูกาลผลิต

นายพิเชษฐ์  กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีสหกรณ์ได้วางแผนการผลิตข้าวกข 43 นาปี  พื้นที่เพาะปลูกรวม 15,016 ไร่ จำนวน 12 สหกรณ์ ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรดอนเจดีย์ จำกัด 500 ไร่ สหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จำกัด 300 ไร่ สหกรณ์การเกษตรเขาย้อย จำกัด 200 ไร่ สหกรณ์การเกษตรท่าเรือ จำกัด 300 ไร่ สหกรณ์การเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดินช้างใหญ่ จำกัด 2,000 ไร่ สหกรณ์นิคมลานสัก จำกัด 3,000 ไร่ สหกรณ์การเกษตรทุ่งวัดสิงห์ จำกัด 1,220 ไร่ สหกรณ์การเกษตรพรหมพิราม จำกัด 5,014 ไร่ สหกรณ์การเกษตรนิคมฯบางระกำ จำกัด 1,000 ไร่

สหกรณ์การเกษตรบางมูลนาก จำกัด 452 ไร่ สหกรณ์การเกษตรโพทะเล จำกัด 500 ไร่ และสหกรณ์นิคมสวรรคโลก จำกัด (กลุ่มนาแปลงใหญ่ข้าวคลองมะพลับ) 500 ไร่ และยังมีสหกรณ์ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมอีก 4 แห่ง คือ สหกรณ์การเกษตรคลองหลวง จำกัด สหกรณ์การเกษตร ลำลูกกา จำกัด สหกรณ์การเกษตรบรรพต จำกัด และสหกรณ์การเกษตรเมืองอุทัยธานี  จำกัด

ทั้งนี้ กรมฯจะเร่งส่งเสริมสมาชิกสหกรณ์หันมาปลูกข้าวพันธุ์ กข 43 แทนข้าวพันธุ์ทั่วไป เนื่องจากเป็นข้าวที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน  คุณสมบัติของข้าวกข 43 เป็นพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ  รสชาติเหนียวนุ่มรับประทานอร่อย มีค่าน้ำตาลอยู่ในระดับปานกลางถึงต่ำ เหมาะกับผู้บริโภคที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานและผู้ที่ห่วงใยสุขภาพ รวมถึงผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก  เพราะเมื่อรับประทานข้าวกข 43 ซึ่งมีน้ำตาลต่ำ  ร่างกายก็จะเปลี่ยนแป้งไปเป็นน้ำตาลได้ช้าลง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และช่วยอิ่มท้องนานไม่หิวง่าย ซึ่งในอนาคตกรมฯมีแผนที่จะสนับสนุนสหกรณ์ต่าง ๆ ขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวกข 43 ให้ครบ 1 แสนไร่

ขณะนี้มีหลายสหกรณ์ทยอยสมัครเข้าร่วมโครงการ แต่เนื่องจากข้าวพันธุ์กข 43 เป็นพันธุ์ข้าวที่ปลูกได้เฉพาะในเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ เป็นข้าวไม่ไวแสง อายุเก็บเกี่ยวเพียง 95 วัน ดังนั้น ลักษณะพื้นที่ปลูกจะมุ่งไปที่สหกรณ์ที่ผลิตข้าวในระบบแปลงใหญ่ หากสหกรณ์ใดยังไม่ได้เป็นสหกรณ์ที่อยู่ในระบบแปลงใหญ่ จะต้องสมัครเข้าเป็นระบบการทำเกษตรแบบแปลงใหญ่เสียก่อน เพื่อให้หน่วยงานราชการอื่นเข้าไปส่งเสริมในเรื่องของการปลูก ทั้งการให้ข้อมูลและการถ่ายทอดองค์ความรู้การเพาะปลูก การตรวจรับรองระบบการผลิตที่ตรงตามมาตรฐาน และการส่งเสริมการตลาดนำการผลิต

สำหรับการขยายช่องทางการจำหน่ายข้าวกข 43 ภายในประเทศ กรมฯได้หารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการวางแผนการตลาด โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ประสานกับภาคเอกชน ทั้งโรงสีและผู้ประกอบการที่สนใจทำข้อตกลงซื้อขายข้าวร่วมกับเครือข่ายสหกรณ์  ในเบื้องต้นจะมีสหกรณ์ 9 แห่งในจังหวัดสุพรรณบุรี เพชรบุรี อยุธยา อุทัยธานีและชัยนาท รวบรวมผลผลิตข้าวกข 43 ในฤดูนาปรังที่ผ่านมา จำนวน 941 ตัน เพื่อเตรียมส่งมอบตามข้อตกลงซื้อขายในล็อตแรก  มูลค่า 11.763 ล้านบาท

“ตลาดหลัก ๆ ที่สหกรณ์จะส่งจำหน่ายส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการที่ตกลงจะซื้อข้าวเปลือกกข 43 เพื่อนำไปแปรรูป เช่น บริษัท ข้าว อิ่ม ทิพย์ จำกัด  บริษัท ไทยฮา จำกัด (มหาชน) บริษัท เมดิฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ผกากาญจน์ จำกัด  บริษัท ตราสามใบเถา จำกัด โรงสีปอรุ่งเรืองธัญญา โดยกำหนดส่งมอบตั้งแต่กลางเดือนเมษายนนี้  เป็นต้นไป ในราคาตันละ 12,500 บาท ณ ความชื้นที่15%  ซึ่งเกษตรกรมีความพึงพอใจกับราคานี้มาก เพราะเมื่อเทียบกับผลผลิตต่อไร่ของข้าวชนิดอื่นแล้ว  ปรากฏว่าข้าวกข 43 ขายได้กำไรที่ดีกว่า และคาดว่าข้าวเปลือกกข 43 ล็อตแรกของสหกรณ์ที่ผลิตออกมา  จะสามารถกระจายออกสู่ตลาดได้ทั้งหมด” นายพิเชษฐ์ กล่าว

แม้ว่าตลาดรองรับข้าวกข 43 ขณะนี้ยังเป็นตลาดค้าส่งข้าวเปลือกเป็นหลัก แต่ก็มีสหกรณ์บางแห่งที่มีโรงสีข้าว เช่น สหกรณ์การเกษตรดอนเจดีย์ จำกัดและสหกรณ์การเกษตรทุ่งวัดสิงห์ จำกัด ได้แปรรูปข้าวกข 43 เป็นข้าวสาร บรรจุถุงสุญญากาศที่มีเครื่องหมายรับรองคุณภาพจากกรมการข้าวว่าเป็นข้าวกข 43 แท้ที่ผลิตจากสหกรณ์ และวางขายตามตลาดทั่วไป  ซึ่งกรมฯจะสนับสนุนให้สหกรณ์ขยายช่องทางการจำหน่ายเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายที่จะนำไปวางขายภายในห้างโมเดินเทรด ศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ตามจังหวัดต่าง ๆ รวมถึงร้านสหกรณ์ในมหาวิทยาลัยและร้านสหกรณ์ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ  ซึ่งคาดว่าจะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ดูแลสุขภาพได้ตรงจุด อีกทั้งยังมีแผนจะประชาสัมพันธ์ข้าวกข 43 ของสหกรณ์ผ่าน Social Media ด้วย เพื่อจะสนับสนุนข้าวกข 43 ให้ติดตลาด มุ่งเจาะฐานลูกค้ากลุ่มคนที่รักษาสุขภาพ และในอนาคตได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้เป็นข้าวออแกนิค เพื่อดึงดูดลูกค้ามากขึ้น

“ขณะนี้ได้รับการติดต่อจากห้างบิ๊กซีและบริษัท แอมเวย์ เพื่อเจรจาขอสั่งซื้อ ซึ่งคาดว่าข้าวกข 43 ของสหกรณ์จะสามารถนำไปวางขายในห้างบิ๊กซีได้เร็ว ๆ นี้  ขณะเดียวกันทางกระทรวงพาณิชย์จะเข้ามาช่วยในเรื่องการประชาสัมพันธ์และทำตลาด โดยหาภาคเอกชนที่สนใจสั่งซื้อข้าวกข 43 เข้ามาจับมือเป็นคู่ค้ากับสหกรณ์ด้วย”นายพิเชษฐ์  กล่าว

18 เมษายน 2561 - ศูนย์การเรียนรู้ สสส.

newscms thaihealth c fgilnqrt3578

พบผู้สูงอายุในไทย11ล้านคน สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินฯ จับมือ รพ.ราชวิถี พม.ชวนผู้สูงอายุถ่ายทอดเคล็ดลับ อยู่100ปีอย่างมีความสุข 80ปีไม่มีโรค เพื่อสร้างความเข้าใจให้คนสองวัยทั้งผู้สูงอายุ และผู้ดูแลได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ปลอดภัยจากภาวะเจ็บป่วย เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์และมีคุณภาพ

เมื่อวันที่ 8 เม.ย.61 ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลราชวิถี สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย ร่วมกับโรงพยาบาลราชวิถี และกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดกิจกรรมส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพดีมีอายุยืนยาวสมบูรณ์ ภายใต้แนวคิด "สองวัยใส่ใจสุขภาพ" ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับช่วงเทศกาลประเพณีไทยวันสงกรานต์ หรือวันผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้สูงอายุ และผู้ดูแล สามารถดูแลตนเองได้ไม่เจ็บป่วยฉุกเฉิน

ภายในงานมีวิทยากรผู้สูงอายุที่เป็นทั้งปูชนียบุคคลและเป็นผู้มีสุขภาพดี เช่น ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร , นพ.บรรลุ ศิริพานิช และ นพ.เฉก ธนะศิริ มาร่วมแลกเปลี่ยน และผู้สูงอายุสนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 100 คู่ ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการทำพิธีขอพรจากผู้สูงอายุ เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องในวันผู้สูงอายุและเทศกาลวันสงกรานต์ ซึ่งถือว่าเป็นวันปีใหม่ของไทย

นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวง พม.กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดงาน ว่า ปี 2560 มีผู้สูงอายุสูงถึง 11 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียง 1.5% และเป็นผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองได้เล็กน้อยประมาณ 2 ล้านกว่าคน ขณะที่ผู้สูงอายุ 8 ล้านคน เป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งนี้ จากการสำรวจทั่วประเทศ พบว่า ขณะนี้มีผู้สูงอายุเกิน 100 ปี จำนวน 300 คน และคาดการณ์ว่าในปี 2574 จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ คือ จะมีผู้สูงอายุมากถึง 28% ของจำนวนประชากร สำหรับสิ่งที่จะทำให้ผู้สูงอายุมีความสุขได้ คือ การไม่มีโรค มีกิจกรรมทำ ซึ่งทางกรมได้สนองนโยบายภาครัฐด้วยการส่งเสริมการจ้างงาน และกองทุนเงินออมแห่งชาติให้กับผู้สูงอายุด้วย

"ผู้สูงอายุจะมีความสุขได้ จะต้องมี่สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ด้วยการเริ่มรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดหวาน มัน เค็ม ส่วนเรื่องการออมนั้นควรเริ่มตั้งแต่วัยทำงาน และกระทรวงแรงงานกำลังผลักดันแก้ไข กฎหมายการจ้างงานผู้สูงอายุให้เป็นการจ้างงานแบบรายชั่วโมง เพื่อให้เหมาะสมกับวัยของผู้สูงอายุ" นางธนาภรณ์ กล่าว

ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจัดประชุมเชิงเสวนา "สองวัยใส่ใจสุขภาพ" ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งโครงการส่งเสริมและป้องกันคนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสขุภาพ (สสส.) ที่ทางสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินฯ ต้องการส่งเสริมให้ประชาชนทุกช่วงวัยมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วยฉุกเฉิน ที่ผ่านมาปัญหาผู้ป่วยฉุกเฉินมีมากขึ้น ขณะที่ประชากรของประเทศมีอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้น แต่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักมีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง นอกจากนี้แนวโน้มของผู้ที่อายุน้อยแต่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังมีมากขึ้น ขณะที่สถานการณ์ผู้ป่วยฉุกเฉินในห้องฉุกเฉินมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยฉุกเฉินที่แม้ได้รับการพิจารณาให้เข้ารักษาภายในโรงพยาบาล กลับต้องนอนพักรักษาในห้องฉุกเฉินเพื่อรอเตียง ซึ่งส่งผลเสียในด้านต่างๆทั้งด้านครอบครัว และบุคลากรที่ทำงานในห้องฉุกเฉิน

ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ กล่าวว่า การถ่ายทอดประสบการณ์จริงจากวิทยากรที่เป็นปูชนียบุคคลที่ทรงคุณภาพมาให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพตนเอง และการป้องกันจุดเสี่ยงภายในบ้าน จะช่วยให้ผู้สูงอายุและครอบครัว หรือผู้ดูแล นำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในการดูแลให้เหมาะสม และหวังว่าจะมีส่วนกระตุ้นให้เกิดความสนใจดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มผู้ที่มีอายุน้อย เพื่อที่จะได้เริ่มดูแลให้ตนเองมีสุขภาพดีเหมาะสมตามวัย ไปจนถึงการก้าวเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุยืน มีคุณภาพ ไม่เป็นภาระต่อครอบครัวและประเทศในอนาคต การประชุมกึ่งเสวนานี้จึงเป็นการเตรียมความพร้อมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

ดร.ประเสริฐ ณ นคร อดีตนายกราชบัณฑิตยสภา ปัจจุบันอายุ 99 ปี กล่าวถึงวิธีกิน - อยู่อย่างไร.? ให้อายุยืนเกิน 100 ปี พร้อมเคล็ดลับหลักความคิด ที่ว่า การที่จะทำให้อายุยืนนั้น เป็นเพราะเมื่อได้อ่านหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ จำนวน 3 เล่ม จากนั้นได้ฝึกตนเองในเรื่องการจดจำ ฝึกสมาธิ รักษาสุขภาพอนามัย และเมื่อ 3 - 4 ปีมาแล้ว ได้ไปเดินขึ้นเขา 620 ขั้น ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เพราะว่าใจมุ่งมั่น และท่องคล้ายๆ ยุบหนอพองหนอไปเรื่อยๆ มันทำให้จิตใจสงบนิ่ง มันก็ไม่เหนื่อย จนสุดท้ายสามารถขึ้นเขาไปได้สำเร็จ นอกจากนี้ ยังสามารถที่จะบังคับการหลับ การตื่นของตนเองได้ อย่างเวลานอน ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อดหลับอดนอน

ดร.ประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับวิธีเลือกอาหารเพื่อสุขภาพ คือ ตนเองเป็นคนทานง่าย เน้นทานผัก หรือทานอะไรก็ได้ที่ไม่เผ็ดมาก ไม่หวาน ไม่มัน ไม่เค็ม งดอาหารดิบๆ สุขๆ ที่สำคัญไม่ดื่มสุราของมึนเมา และผลจากการปฏิบัติตามหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ ทั้ง3เล่ม ช่วยทำให้ตนเองมีความสะบายใจ ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ปฏิบัติดี คิดเพียงแต่ว่า เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าหรือก่อนจะเข้านอน ให้ระลึกว่าวันนี้จะทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและประเทศชาติมากที่สุดได้อย่างไร และวันนี้ได้ทำดีที่สุดแล้ว ก็รู้สึกดีใจ ภาคภูมิใจ ทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคตองในวันผู้สูงอายุและเทศกาลวันสงกรานต์ซึ่งถือว่าเป็นวันปีใหม่ของคนไทย

น.ส.อนัญญา อัคชู ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้งอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวง พม.กล่าวว่า ทางกรมฯที่ต้องการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่ดี มีภาวะเศรษฐกิจที่ดี มีสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีซึ่งผู้ร่วมกิจกรรมจะได้รับความรู้ว่าจะป้องกันอย่างไรไม่ให้ตนเองเจ็บป่วยและเตรียมตัวเพื่อเป็นผู้สูงอายุ ถึง 100 ปี หรือมากกว่าที่ยังคงมีสุขภาพดี

ขณะที่ คุณหญิงเดือนเพ็ญ พึ่งพระเกียรติ คณะกรรมการด้านยุทธศาสตร์ โครงการส่งเสริมและป้องกันคนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้มีการถ่ายทอดประสบการณ์การใช้ชีวิตของผู้สูงวัย อย่าง ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร , นพ.บรรลุ ศิริพานิช และ นพ.เฉก ธนะศิริ ที่มีอายุเกิน 90 ปีขึ้นไป โดยทั้ง 2 ท่านหลังจากนี้ ได้เคยกล่าวว่าจะขอมีอายุยืนถึง 120 ปี ประสบการณ์และข้อมูลที่จะได้รับจากวิทยากรครั้งนี้ จะเป็นแนวทางที่ดีให้กับทั้งผู้ที่ดูแลหรือผู้ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุ เกิดแนวทางให้ผู้สูงอายุได้ปฏิบัติไม่ให้ตนเองเจ็บป่วยฉุกเฉิน ซึ่งจะสอดคล้องกับบริบทในสังคมไทยที่ในอนาคตจะเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ หากสามารถดูแลตนเองได้ดี เข้าใจวิธีป้องกันลดการเจ็บป่วยฉุกเฉินได้ โดยการปรับลดพฤติกรรมที่เสี่ยงต่างๆ จะช่วยลดการเกิดปัญหาและภาระให้แก่ครอบครัว สังคมและรัฐบาลได้ อีกทั้งจะลดการเข้าโรงพยาบาลแบบฉุกเฉินได้เช่นกัน

9 เมษายน 2561 - ศูนย์การเรียนรู้ สสส.