Powered by Spearhead Software Labs Joomla Facebook Like Button

newscms thaihealth c ceghlqstxy19

เป็นที่ทราบกันดีว่า หากมีสุขภาพที่ดีก็ต้องรัประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ส่วนประเภทเนื้อสัตว์เน้นที่ย่อยง่าย ขับถ่ายสะดวก เช่น เนื้อปลา เป็นต้น

1.อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลมาก

หากร่างกายของคุณได้รับปริมาณน้ำตาลมากเกินไปนั้นอาจจะส่งผลให้เกิด ปฏิกิริยาที่เรียกว่า glycation ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวนี้เป็นสาเหตุทำให้คุณแก่ก่อนวัยได้นั่นเองเนื่องจาก โมเลกุลของน้ำตาลส่วนเกินที่เราได้รับนั้นจะไปรวมกับโปรตีนส่งผลให้เกิดสาร ประกอบตัวใหม่ที่มีความแข็งยืดหยุ่นน้อยและแตกเปราะได้ง่ายส่งผลให้เซลล์ เสื่อมสภาพ สูญเสียคอลลาเจนและเกิดริ้วรอยได้ง่ายเนื่องจากผิวไม่สามารถยืดหยุ่นได้ เหมือนเดิมนั่นเอง

2.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

ตับสุขภาพดีส่งผลให้ผิวและร่างกายมีสุขภาพที่ดีไปด้วย เพราะตับมีหน้าที่ทำลายสารพิษ กำจัดของเสียที่ร่างกายได้มาจากอาหารหรือสารที่รับเข้าไป เช่น ยา แอลกอฮอล์ ฯลฯ เมื่อตับของคุณทำงานได้เป็นอย่างดีก็จะถูกขับของเสียออกจากร่างกายได้เองตาม ธรรมชาติ แต่ถ้าสารพิษเข้าไปสะสมในตับมากขึ้น จนเกิดสารพิษตกค้างจะส่งผลเสียตามมาหลายอย่างทั้งในเรื่องของผิวพรรณและ สุขภาพ ซึ่งแอลกอฮอล์ก็มีส่วนสำคัญที่เป็นตัวการในการทำลายตับอย่างมากไม่ว่าจะทำ ให้ไขมันสะสมในตับ ,ตับอักเสบ,ตับแข็ง ฯลฯ

3.เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

ในคาเฟอีนมีสารอดีนาลีนซึ่งส่งผลให้ผิวหน้าเหี่ยวย่นได้ อีกทั้งคาเฟอีนยังดูดซึมวิตามินและเเร่ธาตุที่จำเป็นจากร่างกายส่งผลเสียต่อ ผิวอีกเช่นกัน

4.อาหารปิ้งย่าง

ในอาหารปิ้งย่างมักจะพบสารไฮโดรคาร์บอน โดยเฉพาะตรงส่วนที่ไหม้เกรียมซึ่งก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ส่งผลให้ทำลายเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่ ผิวหมองคล้ำ ริ้วรอย และอาจส่งผลทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ว่าคุณจะรับประทานอาหารจำพวกนี้ไม่ได้เลยเพียงแค่ ต้องเลือกรับประทานสักนิดโดยเขี่ยเนื้อบริเวณที่ไหม้เกรียมออกก็สามารถช่วย ลดความกังวลตรงนี้ไปได้บ้าง

5.อาหารรสเค็ม

อาหารในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นอาหารที่ปรุงด้วยเกลือเพียงเท่านั้น แต่อาหารที่มีปริมาณโซเดียมมากๆ ก็เข้าข่ายด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าได้รับโซเดียมมากเกินไปจะส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำ โซเดียมดูดซับน้ำออกจากระบบต่างๆ ของร่างกาย ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น แถมการบวมน้ำยังทำให้ตาบวมไม่สดใสอีกด้วย

6.อาหารแปรรูป

อาหารแปรรูป อาทิ เนื้อสัตว์แปรรูป อย่าง ไส้กรอก เบคอน หมูยอ แฮม ฯลฯ มักเต็มไปด้วยสารในกลุ่มซัลไฟด์ (ใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหาร) เช่น สารกันเสีย ใช้ป้องกันสีเปลี่ยน วัตถุกันกลิ่นเหม็นหืน ฯลฯ ซึ่งมีส่วนกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบและเกิดริ้วรอยได้ ทางที่ดีหันมารับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมันอย่าง อกไก่ เนื้อปลา จะดีกว่า

8 ก.พ. 2561 - ศูนย์การเรียนรู้สุขภาวะ สสส.

newscms thaihealth c bcfgikoqryz6

ผลไม้ที่มีคุณค่าต่อความงามของผิวพรรณจากการที่สับปะรดมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยเซลล์ที่ตายแล้วของชั้นผิวหนังให้หลุดออกมา มีประโยชน์ต่อผู้ที่มีสิวหัวดำอุดตันที่ใบหน้า ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้น สับปะรดยังมีสรรพคุณในการช่วยลดการอักเสบและยังมีวิตามินเอ วิตามินซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระและมีเกลือแร่อีกหลายชนิดช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น

การเตรียมสับปะรด

นำสับปะรดมาปอกเปลือกออกและล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นให้ละเอียด

วิธีใช้

- วิธีที่ 1 น้ำสับปะรดที่กรองแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด 3 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาด พอกให้ทั่วบริเวณใบหน้า ยกเว้นบริเวณปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออก

- วิธีที่ 2 ใช้น้ำที่คั้นได้จากสับปะรดมาชโลมผิวหน้า ทิ้งไว้พอแห้งแล้วล้างออก จะทำให้หน้าเนียนนุ่ม เนื่องจากสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวชั้นนอกสุดถูกย่อยและขจัดออกไป

8 ก.พ. 2561 - ศูนย์การเรียนรู้สุขภาวะ สสส.

newscms thaihealth c dknpuwyz1367

ผู้หญิงควรไปตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก ๆ 3 ปี เป็นอย่างน้อยเพื่อที่จะตรวจพบมะเร็งปากมดลูกได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งมีการรักษาที่ได้ผลและหายขาด แต่ถ้ามีความไม่สะดวกที่จะไปรับบริการก็ควรไปตรวจอย่างน้อยทุก ๆ 5 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีอายุ 35 ปีขึ้นไป เพราะมักจะพบว่าผู้หญิงอายุต่ำกว่า 35 ปี เป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป และถ้ามีปัจจัยต่าง ๆ ต่อไปนี้ ควรต้องไปตรวจมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ

  • มีอายุมากกว่า 35 ปี
  • มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกตอนที่อายุน้อยมากหรือหลังจากที่มีประจำเดือนได้ไม่นาน
  • เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนหลายคน หรือมีคู่รักที่มีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นนอกเหนือจากเรา
  • เคยเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน
  • เป็นผู้ที่มีเชื้อ เอช ไอ วี
  • สูบบุหรี่หรือเคี้ยวยาเส้นเป็นประจำ
  • เคยไปตรวจแป๊ปสเมียร์แล้วพบว่ามีความผิดปกติเล็กน้อย กรณีนี้ควรไปตรวจซ้ำทุกปีหรือสองปี เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อเยื่อผิดปกตินั้นหยุดการเจริญเติบโตอย่างแน่นอน  

7 ก.พ. 2561 - ศูนย์การเรียนรู้สุขภาวะ สสส.

newscms thaihealth c flnqstyz3458

สังคมไทยในปัจจุบันพบว่าผู้หญิงสูบบุหรี่กันมากขึ้น ซึ่งก็มักจะอ้างถึงเหตุที่ตนกลายเป็นหญิงนักสูบต่างๆ นาๆ แต่ นักสูบในปัจจุบัน ไม่ว่าหญิงหรือชายวัยรุ่น พบว่าบางรายผสมกัญชากับบุหรี่ บางคนก็ไปไกลถึงขนาดสูบบุหรี่ผสมผงขาว โดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะตามมา

ปัญหาจากบุหรี่นั้นมีอยู่มากมาย อย่างน้อยก็ทำให้เสียเงิน และในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ การงดสูบบุหรี่ หรือเลิกบุหรี่ จะทำให้เศรษฐกิจของครอบครัวดีขึ้น

ผู้หญิงที่สูบบุหรี่หลายคน เป็นคุณแม่นักสูบ และ สำหรับคุณแม่ที่ยังสูบบุหรี่ คงต้องกล่าวย้ำกันอีกว่าการสูบบุหรี่ของคุณจะกระทบต่อลูกอย่างไร ถ้าคุณสูบบุหรี่ขณะกำลังตั้งท้อง พิษของบุหรี่จะเข้าไปในกระแสเลือดและเข้าไปในรก ลูกของคุณมีชีวิตและเติบโตได้เพราะได้รับอาหารและสิ่งจำเป็นต่อชีวิตต่าง ๆ เช่น ออกซิเจน ผ่านมาทางรก เมื่อสารพิษจากบุหรี่ผ่านไปในรก เด็กในท้องก็รับเอาสารพิษนี้เข้าไปด้วย สารพิษในบุหรี่จะทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์ต่าง ๆ ของเด็กในท้องช้าลง มีข้อมูลยืนยันออกมาว่า ยิ่งแม่สูบบุหรี่มากลูกที่คลอดออกมาก็จะยิ่งตัวเล็กลง และการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมอง เกิดความบกพร่องได้

แม่ที่สูบบุหรี่ยังจะประสบปัญหาน้ำนมน้อยมากกว่าแม่ที่ไม่สูบ เพราะว่านิโคตินจะไปลดโปรแลกตินในกระแสเลือด และหากแม่สูบบุหรี่ในระหว่างให้นม ก็จะทำให้ลูกมีอัตราเสี่ยงสูงที่จะมีอาการ “โคลิค” คือ ปวดท้อง ลำไส้บีบรัดตัวเป็นพัก ๆ

การสูบบุหรี่ของคุณแม่ยังอาจจะลดภูมิต้านทานของลูกต่อโรคไหลตายหรือการตายอย่างเฉียบพลัน รวมถึงลดภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อของต่อมไทรอยด์และปัญหาทางสมองอีกด้วย เพราะนิโคตินจะไปลดไอโอดีนในนมแม่และนิโคตินในนมแม่ยังทำให้เกิดตะคริวของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ท้องเสียและอาการคลื่นไส้อาเจียนในทารกด้วย

ผลการศึกษายืนยันออกมาว่า คุณแม่ที่สูบบุหรี่มีอัตราที่จะให้ลูกหย่านมเร็วขึ้น เพราะคุณแม่นักสูบหันไปให้ลูกกินนมผสมแทน ด้วยเกรงว่าสารพิษจากบุหรี่จะถ่ายทอดไปยังลูก ถ้าคุณจะเลิกให้นมลูกด้วยเหตุผลดังกล่าว ก็คงจะบอกได้เลยว่าคุณคิดผิด เพราะแม้ว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมของคุณแม่นักสูบ ก็ยังมีความเสี่ยงในการติดเชื้อและโรคต่าง ๆ ที่ต่ำกว่าทารกที่ถูกเลี้ยงด้วยนมผสมเพราะสารอาหารหลายชนิดในนมแม่ไม่สามารถทดแทนได้ในนมผสม

ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคุณแม่นักสูบ คงไม่ใช่การเลิกให้นมลูก แต่เป็นการ “เลิกสูบ” ต่างหาก ..และทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งท้อง ก็คือ “เลิกสูบบุหรี่” เช่นกัน

มาดูกันว่า...ระหว่างบุหรี่ กับลูกน้อยของคุณ... คุณ...รักอะไรมากกว่ากัน!

 

7 ก.พ. 2561 - ศูนย์การเรียนรู้สุขภาวะ สสส.

newscms thaihealth c begkmqtuvx38

เครื่องดื่มสุดฮิตอย่างหนึ่งของคนทุกเพศทุกวัย มีขายแพร่หลายตั้งแต่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ จนกระทั่งริมสองฝั่งถนน เป็นเครื่องดื่มเย็น มีหลากรสชาติให้เลือกสรร ทั้งกาแฟและชารสผลไม้ต่างๆ นอกจากหอมหวานยัง “เคี้ยว” ได้เพลินและสนุกปาก ราคาตั้งแต่ 20 บาทจนถึงหลายร้อยบาท “ผู้บริโภค” บางรายนิยมดื่มวันละแก้ว บางรายหลายแก้วต่อวัน จนลืมคำนึงถึง “ภัยร้าย” ที่แฝงตัวมา นั่นคือ “โรคอ้วนง่าย” และ “แก่เร็ว”

เนื่องจากส่วนผสมหลักของชามุก ประกอบด้วยชา ครีมเทียม น้ำตาลทราย นมข้นหวาน ไข่มุก และผงเครื่องดื่มสำเร็จรูปที่แต่งกลิ่น อาทิ กลิ่นแอปเปิ้ล ส้ม องุ่น ลิ้นจี่ และอื่นๆ จึงเป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและไขมันสูงซึ่งสมองของคนเรานั้น หากถูกกระตุ้นด้วยความหวาน มัน เค็ม จะชอบใจ และเข้าใจว่าอาหารนั้นอร่อย เมื่อเกิดความอร่อยก็ยิ่งทำให้อยากจะหามารับประทานบ่อยๆ ยิ่งถ้ามี “กาเฟอีน” ผสมอยู่ ก็ยิ่งทำให้สมองติดใจได้ง่ายขึ้นไปอีกเรียกได้ว่าความหวาน-มัน และกาเฟอีนในชานมไข่มุก “เล่นกล” หลอกให้สมองติดใจ ยิ่งมีการโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ ก็ยิ่งอันตรายสำหรับคนที่ต้องการ “ลดน้ำหนัก” เพราะเมื่อเกิด “ความเชื่อ” ที่ผิดๆ ก็ส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยเลือกดื่มชานมไข่มุกแทนการรับประทานอาหาร เนื่องจากคิดว่าจะช่วยลดน้ำหนักได้ทั้งที่แท้จริงแล้ว การรับประทาน “เกาเหลา” ทั้งชาม ยังอ้วนน้อยกว่าการกินชานมไข่มุก 1 แก้วด้วยซ้ำไป เนื่องจากปริมาณแคลอรี่ในชานมไข่มุกแต่ละแก้วแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ 200 กิโลแคลอรี่ ถึง 400 กิโลแคลอรี่ แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นคือปริมาณน้ำตาล ที่มีตั้งแต่ 8 ช้อนชาต่อแก้ว ไปจนถึง 11 ช้อนชาต่อแก้วซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ในหนึ่งวันเราไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาสำหรับผู้หญิง และ 9 ช้อนชาสำหรับผู้ชาย อีกทั้งไขมันอิ่มตัวจากนมที่ใส่รวมอยู่ก็มีปริมาณไม่น้อย บางสูตรใช้ “ครีมเทียม” ซึ่งมี “ไขมันทรานส์” ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพยิ่งกว่าไขมันชนิดอื่น นอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด “โรคหลอดเลือดหัวใจ” ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งอีกด้วย ส่วน “เม็ดไข่มุก” ที่ผู้บริโภคหลายคนต่างเพลิดเพลินกับการ “เคี้ยว” ด้วยความรู้สึกหนึบๆ หนับๆ ก็คือ “แป้ง” เพราะทำจาก “มันสำปะหลัง” นำมาต้มกับ “น้ำตาล” ให้ “แคลอรี่” แตกต่างกันไปแต่ละสูตร ตั้งแต่ 2-4 กิโลแคลอรี่ต่อเม็ด อีกทั้งยังไม่มีคุณค่าทางอาหาร ไม่ว่าวิตามิน แร่ธาตุ หรือสารต้านอนุมูลอิสระใดๆ เลย

7 ก.พ.2561 - ศูนย์การเรียนรู้สุขภาวะ สสส.